จีนยกระดับ! จาก “อินเทอร์เน็ต+” สู่ “AI+” มุ่งสร้างเศรษฐกิจและสังคมอัจฉริยะ

จีนยกระดับ! จาก “อินเทอร์เน็ต+” สู่ “AI+” มุ่งสร้างเศรษฐกิจและสังคมอัจฉริยะ


รัฐบาลจีนได้ประกาศแผนปฏิบัติการใหม่ในชื่อ “ปัญญาประดิษฐ์+” (AI+) ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญต่อจากแผน “อินเทอร์เน็ต+” (Internet+) ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2015 โดยแผนใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันการผสมผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจและสังคมอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างพลังการผลิตรูปแบบใหม่ และเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Intelligent Economy) และสังคมอัจฉริยะ (Intelligent Society)

การวิวัฒนาการจาก “อินเทอร์เน็ต+” สู่ “AI+”

แหล่งข้อมูลชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสองแนวคิดนี้:

  • “อินเทอร์เน็ต+”: เน้นเรื่อง “การเชื่อมต่อ” (Connection) โดยใช้เครือข่ายในการส่งผ่านข้อมูล เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพ
  • “AI+”: เป็นการต่อยอดจาก “อินเทอร์เน็ต+” โดยเพิ่ม “ความสามารถในการรับรู้” (Cognitive Ability) เข้าไป ทำให้เกิดการก้าวกระโดดจาก "การเชื่อมต่อและเผยแพร่ข้อมูล" ไปสู่ "การใช้และการสร้างสรรค์ความรู้" สิ่งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งและครอบคลุมกว่า ทั้งในด้านการจัดสรรปัจจัยการผลิต รูปแบบการสร้างมูลค่า และการบริหารจัดการสังคม

ปัจจุบัน เทคโนโลยี AI ได้พัฒนาจนมีความสามารถรอบด้านมากขึ้น สามารถทำงานที่หลากหลายได้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสถานการณ์เฉพาะอีกต่อไป การเปิดตัวแผน “AI+” ในเวลานี้จึงถือเป็นจังหวะที่เหมาะสมและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของจีน

แนวทางหลักในการขับเคลื่อน “AI+”

เอกสาร "ความเห็นว่าด้วยการดำเนินการเชิงลึกตามแผนปฏิบัติการ ‘ปัญญาประดิษฐ์+’" (《意见》) ได้วางแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญไว้หลายประการ:

  1. การวางแผนล่วงหน้า (Forward-looking Planning):

    • ตั้งเป้าหมายระยะยาวให้จีนก้าวเข้าสู่ขั้นใหม่ของเศรษฐกิจและสังคมอัจฉริยะอย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2035
    • กำหนดเป้าหมายระยะสั้นสำหรับปี 2027 และ 2030 ในด้านต่างๆ เช่น อัตราการใช้งานอุปกรณ์อัจฉริยะ และระดับการพัฒนาของเศรษฐกิจอัจฉริยะ
  2. การวางระบบอย่างเป็นองค์รวม (Systematic Layout):

    • มองว่า “AI+” เป็นโครงการเชิงระบบที่เกี่ยวข้องกับทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการกำกับดูแล
    • ต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายต่างๆ เช่น “ช่องว่างทางปัญญา” (Intelligence Divide), การเลือกปฏิบัติของอัลกอริทึม และความเสี่ยงของการว่างงานเชิงโครงสร้าง
  3. นโยบายที่แตกต่างตามภาคส่วน (Sector-specific Policies):

    • ส่งเสริมการใช้ AI โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละอุตสาหกรรม (“หนึ่งอุตสาหกรรม หนึ่งนโยบาย”)
    • สำหรับอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ยานยนต์อัจฉริยะและการเงิน จะต้องมีมาตรการกำกับดูแลและป้องกันความปลอดภัยที่เข้มงวด
    • สำหรับอุตสาหกรรมที่เทคโนโลยียังมีความซับซ้อน เช่น การดูแลผู้สูงอายุและการแพทย์ จะต้องเพิ่มการลงทุนวิจัยในเทคโนโลยีหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ และ Brain-Computer Interface
  4. การเปิดกว้างและแบ่งปัน (Openness and Sharing):

    • ส่งเสริมความร่วมมือด้าน “AI+” ในระดับโลก เพื่อสร้างระบบนิเวศการพัฒนาที่เปิดกว้างและแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน
    • ร่วมสร้างระบบธรรมาภิบาล AI ระดับโลกที่ทุกประเทศมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง
  5. การรับประกันความปลอดภัยและควบคุมได้ (Security and Control):

    • ตระหนักถึงความเสี่ยงของ AI ทั้งที่เกิดจากตัวเทคโนโลยีเอง (เช่น Data Poisoning, Model Hallucination) และที่เกิดจากการนำไปใช้ในทางที่ผิด
    • ดังนั้นจึงต้องเร่งสร้างความสามารถด้านความปลอดภัยสำหรับโมเดลอัลกอริทึม ข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน และระบบแอปพลิเคชัน พร้อมจัดตั้งระบบติดตาม ตรวจจับ และรับมือเหตุฉุกเฉิน

แผนปฏิบัติการ “AI+” ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนให้จีนสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมคุณภาพสูงด้วยพลังของปัญญาประดิษฐ์ต่อไป โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนา AI ของจีนให้เป็นไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ ปลอดภัย และเป็นธรรม

ความคิดเห็น