กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
จับมือหัวเว่ยสานต่อความร่วมมือด้านเทคโนโลยีคลาวด์ในเชิงลึก
บันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการด้านบริการคลาวด์ของรัฐ
พร้อมขยายการเติบโตของอีโคซิสเต็ม เพื่อดึงดูดการลงทุนและผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลแห่งอาเซียน
กรุงเทพฯ,
25 กุมภาพันธ์ 2565 – กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และบริษัท
หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงในการสานต่อความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน
ในการเสริมประสิทธิภาพระบบคลาวด์ พร้อมเสริมแกร่งให้กับศักยภาพด้านการแข่งขันทางดิจิทัลของประเทศไทย
รวมถึงการนำโปรแกรมพัฒนาทักษะบุคลากรด้านดิจิทัลของหัวเว่ยมาใช้ในการอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลของรัฐบาลไทยภายในระยะเวลา
3 ปี เพื่อร่วมกันสร้างอีโคซิสเต็มคลาวด์ที่มีความพร้อม
และนำไปสู่รากฐานของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลให้กับประเทศไทย
นายชัยวุฒิ
ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ได้กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ผมขอขอบคุณทุกท่านสำหรับความทุ่มเทและความอุตสาหะที่ทำให้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
(MOU) ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลฯ
และบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ในการนี้ ทางรัฐบาลยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อก้าวสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล
โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ แก่นโยบายด้านการเน้นเรื่องเทคโนโลยีคลาวด์เป็นอันดับแรก
ดังจะเห็นได้จากความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯและบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย)
จำกัด ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีคลาวด์ การวิจัยเชิงนวัตกรม การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่
(Big Data) รวมถึงการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัล นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ภาครัฐของเรายังจะได้พัฒนาทักษะและต่อยอดความรู้ด้านเทคโนโลยีคลาวด์ที่ศูนย์นวัตกรรมร่วมด้านซอฟต์แวร์อีกด้วย
ตอนนี้ประเทศไทยได้ขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 5G ในระดับภูมิภาคอาเซียน
โดยมีคลาวด์เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางด้านดิจิทัล และในอนาคตอันใกล้นี้
ผมหวังว่าเราจะได้เห็นประชาชนชาวไทยสามารถเข้าถึงการให้บริการจากภาครัฐผ่านอุปกรณ์ทุกชนิด”
จุดเริ่มต้นบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
“นับตั้งแต่มีการลงนามครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน
ปี 2560
เราได้มีความร่วมมือกับหัวเว่ยผ่านโครงการต่างๆ
จนมีการสานต่อในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น โดยวัตถุประสงค์ของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง
กระทรวงดิจิทัลฯและหัวเว่ย ในครั้งนี้จะว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีคลาวด์ให้แน่นเฟ้นยิ่งขึ้น
ผ่านโครงการที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและนวัตกรรม รวมไปถึงการพัฒนาทักษะของบุคลากร
ความร่วมมือนี้ยังมุ่งหวังที่จะเร่งการเปลี่ยนผ่านบริการของรัฐบาลจากแบบดั้งเดิมสู่ระบบคลาวด์
ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย ปรับปรุงและยกระดับบริการต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชน
ทางกระทรวงขอขอบคุณหัวเว่ยสำหรับการสนับสนุนในระดับมืออาชีพเสมอมา
เราจะส่งเสริมระบบคลาวด์สำหรับรัฐบาลเพื่อพัฒนาไปสู่ระบบที่ “ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล”
และการโอนถ่ายข้อมูลภายในระหว่างหน่วยงาน นอกจากนี้ เราจะร่วมมือกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์สำหรับรัฐบาล โดยใช้เทคโนโลยีคลาวด์ระดับชั้นนำจากหัวเว่ย รวมถึงข้อมูลขนาดใหญ่
(Big Data), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ IoT เพื่อเพิ่มความหลากหลายและความสามารถในการให้บริการเชิงลึกให้แก่หน่วยงานของรัฐและสังคม”
รายละเอียดบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
นายชัยวุฒิ ยังเน้นย้ำถึงบันทึกข้อตกลงความร่วมมือซึ่งรวมไปถึงการอบรมบุคลากรเป็นระยะเวลา
3 ปี เพื่อพัฒนาทักษะดิจิทัลในด้านของคลาวด์, ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบ IoT พร้อมทั้งเสริมทักษะในด้านเทคโนโลยีที่จำเป็นให้แก่บุคลากรของรัฐจำนวน 2,000
คน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ต่อการผลักดันเศรษฐกิจและสังคม
ความร่วมมือในครั้งนี้ยังจะรวมไปถึงการปรับโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์สาธารณะ
เพื่อรองรับความต้องการและให้การบริการแก่ผู้ใช้งานในส่วนของภาครัฐที่มากยิ่งขึ้น
ผลักดันการให้บริการสาธารณะผ่านระบบคลาวด์ของรัฐ ที่สำคัญ ทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งเน้นที่จะร่วมกันเร่งสร้างอีโคซิสเต็ม
(ระบบนิเวศดิจิทัล / Digital
Ecosystem) ในวงกว้างนอกเหนือจากหน่วยงานรัฐ
รวมถึงพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรม สตาร์ทอัพ ธุรกิจ SMEs และมหาวิทยาลัย
เพื่อนำโซลูชันไปใช้ในอุตสาหกรรมแนวดิ่ง ทั้งนี้ ยังมีพันธมิตรจากหัวเว่ย คลาวด์ กว่า
20,000 รายทั่วโลก ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ และหัวเว่ยจะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เหล่านี้ในการพัฒนาดิจิทัลอีโคซิสเต็ม
(ระบบนิเวศดิจิทัล / Digital Ecosystem) ชั้นนำที่เปิดกว้างเพื่อทุกฝ่ายจะสามารถทำงานร่วมกันได้
เป้าหมายในการเติบโตของหัวเว่ยในประเทศไทย
และการลงทุนในระบบคลาวด์
จุดแข็งของ HUAWEI CLOUD
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น